วันจันทร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2560
ขั้นตอนการติดตั้งหลอดไฟ LED T8
ขั้นตอนการติดตั้งหลอดไฟ
LED
T8
ขั้นตอนที่จําเป็นในการติดตั้งหลอดไฟ LED T8 แทน
หลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ (Fluorescent Lamp) โดยใช้รางเดิม
ซึ่งเป็นเพียงแนวทางในการติดตั้ง และเพื่อความปลอดภัย
ควรติดตั้งโดยช่างไฟฟ้าผู้ชํานาญงาน
คําเตือน:
- ก่อนทำการติดตั้งต้องทำการดับสวิทซ์ไฟก่อนทุกครั้ง
- ควรติดตั้งโดยช่างผู้ชำนาญการเท่านั้น
- ก่อนทำการติดตั้งต้องทำการดับสวิทซ์ไฟก่อนทุกครั้ง
- ควรติดตั้งโดยช่างผู้ชำนาญการเท่านั้น
ขั้นตอนในการติดตั้ง:
1. ปิดสวิทซ์ไฟก่อนทำการติดตั้ง
2. นำหลอดไฟ LED T8 ออกจากกล่อง ทำการตรวจสอบให้แน่ใจว่าหลิดไฟอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่แตกหัก หากพบว่าหลอดไฟมีการชำรุด ห้ามนำมาติดตั้งโดยเด็ดขาด
3. ถอดหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ออก เปิดฝาครอบราง จากนั้นทำการถอดสตาร์ทเตอร์ (Starter) ออก
4. ปลด หรือถอดสายไฟออกจากบัลลาสต์ (Ballast) และทำการถอดบัสลาสต์ออก
1. ปิดสวิทซ์ไฟก่อนทำการติดตั้ง
2. นำหลอดไฟ LED T8 ออกจากกล่อง ทำการตรวจสอบให้แน่ใจว่าหลิดไฟอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ไม่แตกหัก หากพบว่าหลอดไฟมีการชำรุด ห้ามนำมาติดตั้งโดยเด็ดขาด
3. ถอดหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์ออก เปิดฝาครอบราง จากนั้นทำการถอดสตาร์ทเตอร์ (Starter) ออก
4. ปลด หรือถอดสายไฟออกจากบัลลาสต์ (Ballast) และทำการถอดบัสลาสต์ออก
5. ต่อสายไฟด้าน L เข้ากับสายไฟอีกด้าน
6. ทำการตรวจสอบให้แน่ใจว่าต่อสายไฟถูกต้องแล้ว
จากนั้นทำการปิดฝาครอบราง
7. นำหลอดไฟ LED T8 ใส่เข้าไปในรางที่ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว
และเปิดสวิซต์เพื่อให้หลอดไฟทำงาน
หลอดไฟ LED ดีอย่างไร ตอนที่ 3
หลอดไฟ LED ดีอย่างไร ตอนที่ 3
ข้อดีหลอดไฟ LED
ข้อดีหลอดไฟ LED
กินไฟน้อย
è สว่างมาก
1. ปลอดภัยไร้สารพิษ
ในขณะที่หลอดฟลูออเรสเซนต์มีการเคลือบสารไตรฟอสเฟอร์และสารปรอทอยู่ภายใน
หากหลอดไฟชำรุดเสียหายก็มีโอกาสที่สารดังกล่าวจะเล็ดลอดออกมาเป็นอันตรายกับมนุษย์ได้
แต่หลอดไฟ LED ไม่มีปัญหาดังกล่าว
ทำให้ง่ายต่อการรีไซเคิลวัสดุมาใช้ซ้ำโดยไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
2. ไม่ร้อน
หลอดไฟ
LED
นี้มีข้อดีอันสำคัญยิ่งอยู่หนึ่งอย่างก็คือ
ปล่อยความร้อนออกมาน้อยมาก นั่นหมายความว่าบ้านไหนใช้ไฟ LED ก็จะช่วยประหยัดค่าไฟในยามเปิดเครื่องปรับอากาศไปได้
3. อายุยืน ใช้ได้ยาว
หลอดไฟ
LED
มีอายุการใช้ขั้นต่ำอยู่ที่ 25,000 ชั่วโมง บางรุ่นอายุการใช้อาจสูงถึง
60,000 ชั่วโมง ส่วนหลอดฟลูออเรสเซนส์ 16,000 – 20,000
ชั่วโมงเท่านั้น (สินค้าแต่ละยี่ห้ออาจมีคุณสมบัติต่างกัน
ก่อนซื้ออย่าลืมดูฉลากนะคะ)
4. ถึก! ทนทาน!
หลอดไฟ
LED
สามารถทนต่อแรงสั่นสะเทือน
หรือกระทบกระแทกได้มากกว่าหลอดไฟฟลูออเรสเซนส์ แม้จะสามารถแตกได้เช่นเดียวกัน
แต่ก็เปราะน้อยกว่า
หลอดไฟ LED ดีอย่างไร ตอนที่ 2
หลอดไฟ LED ดีอย่างไร ตอนที่ 2
ต่อจากตอนที่ 1 เราจบบทความที่ว่า เนื่องจาก LED มีข้อจำกัดสำคัญ คือ ยังไม่สามารถผลิต LED ที่เปล่งแสงสีขาวโดยแท้จริงได้ เรามาต่อกันเลยนะคะ
โดยปัจจุบันมี 2 วิธี ที่นำมาใช้เพื่อผลิต
วิธีแรก นับเป็นวิธีการที่นิยมใช้มากที่สุดและง่ายที่สุด คิดค้นโดยบริษัท Nichia เมื่อปี 2539คือ การเคลือบ LED สีน้ำเงินด้วยสารเรืองแสงสีเหลือง อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของวิธีการนี้ คือก่อให้เกิด การสูญเสียพลังงาน ทำให้ประสิทธิภาพในการให้แสงสว่างลดลง
วิธีที่สอง นับเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพการใช้พลังงานสูงกว่า คือ การนำแสงสีแดง เขียว และ น้ำเงิน มาผสมกันให้พอเหมาะเพื่อให้เป็นสีขาว ซึ่งมีข้อดี คือ นอกจากผสมกันเป็นสีขาวแล้ว ยังสามารถ ผสมสีออกมาเป็นสีต่างๆ ได้ตามต้องการ อย่างไรก็ตามข้อเสียของวิธีการนี้คือ มีความยุ่งยากและมีค่าใช้จ่าย สูงในการบำรุงรักษาเนื่องจากจะต้องมีหลอด LED จำนวนมาก
LED หรือ Light Emitting Diode
เป็นหลอดไฟที่มาแรงที่สุดในขณะนี้ เนื่องจากคุณประโยชน์อันเหนือชั้นที่ถูกพัฒนาขึ้นให้ใช้งานได้ระยะยาว เป็นทางเลือกของคนชอบการประหยัดพลังงาน หรือบางสถานที่ที่เล่นแสงสีเยอะ เปิดปิดไฟบ่อย หลอดนี้จะเหมาะมาก
1. LED มีประสิทธิภาพการให้พลังงานแสงสว่างที่ระดับสูงถึง 70 ลูเมน/วัตต์
2. อายุการใช้งานของหลอด LED ยาวนานถึง 50,000 – 100,000 ชั่วโมง
3. LED ปล่อยความร้อนออกมาน้อยมาก ประหยัดไฟฟ้า โดยทั่วไปกินไฟเพียง 0.5-1 วัตต์
4. ควบคุมคุณภาพของแสงให้ปล่อยออกมาได้ ดังนั้น จึงนำไปใช้ประโยชน์ในการให้แสงสว่างในสถานที่สำคัญ เป็นต้นว่า พิพิธภัณฑ์ลูฟของกรุงปารีส ได้ใช้แสงจาก LED ในการให้แสงสว่างต่อภาพเขียนโมนาลิซ่า เนื่องจากสามารถควบคุมแสงสว่างจาก LED ไม่ให้มีส่วนผสมของแสงที่เป็นอันตรายต่อภาพเขียน เช่น แสงอินฟราเรด แสงอัลตราไวโอเลต ฯลฯ
ตัวอย่างการเปรียบเทียบหลอด LED vs FL
ที่มา : http://www.solarcellindustrial.com
หลอดไฟ LED ดีอย่างไร ตอนที่ 1
หลอดไฟ LED ดีอย่างไร ตอนที่ 1
ปัจจุบันหลอดไฟ LED มีประสิทธิภาพการให้พลังงานแสงสว่างที่ระดับสูงถึง
120 ลูเมน/วัตต์ สูงกว่าหลอดไฟฟ้าแบบขดลวดที่มี
ประสิทธิภาพที่ระดับ 15 ลูเมน/วัตต์ หลอดไฟแบบฟลูออเรสเซ็นต์
ซึ่งมีประสิทธิภาพถึง 80 – 100
ลูเมน/วัตต์ อย่างไรก็ตาม แสงสว่างของหลอดไฟฟลูออเรสเซ็นต์จะกระจายออกไปทุกทิศทาง
ทำให้แสงกระจายโดยสูญเปล่าเป็นจำนวนมาก ขณะที่แสงสว่างของหลอดไฟ LED จะส่องไปเฉพาะจุดด้านหน้าเท่านั้น ดังนั้นประสิทธิภาพของหลอดไฟ LED
จึงนับว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าหลอดฟลูออเรสเซ็นต์
ในเรื่องของการประหยัดไฟถึง3เท่า ในปริมาณแสงสว่างที่เท่ากัน
ยิ่งไป กว่านั้นหลอดไฟ LED นั้นก้าวหน้าเร็วมาก
ทำให้มีแนวโน้มว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงมาใช้หลอดไฟ LEDให้แสงสว่างแทนหลอดฟลูออเรสเซ็นต์ทั้งหมด
เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาประสิทธิภาพของ LED เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก
5 ลูเมน/วัตต์ ในปี 2539 เป็น 50 ลูเมน/วัตต์ ในปี 2546 และเพิ่มขึ้นเป็น 70 วัตต์/ลูเมน ในปี 2547 ปัจจุบัน กลุ่มหลอดไฟ LED
ที่กลุ่มผู้บริโภคสามารถจับต้องได้ หรือ
ซื้อหามาเพื่อใช้ทดแทนหลอดไฟเดิม ได้พัฒนาสูงถึง 120
ลูเมน/วัตต์
(ยังไม่รวมถึงหลอดต้นแบบที่สามารถทำได้สูงถึง
150 ลูเมน/วัตต์)
ความปลอดภัยจากการใช้หลอดไฟLED
ทำให้แสงสว่างที่ได้จากการใช้งาน ไม่เกิดอันตรายจากรังสีอินฟราเรด
รังสีอุลตราไวโอเลท สารปรอท และการไม่เกิดการกระพริบของแสงซึ่งเป็นอันตรายต่อสายตา
จากการที่ LED ปล่อยความร้อนออกมาน้อยมาก
ทำให้อาคารลดการสูญเสีย พลังงานไฟฟ้าในส่วนเครื่องปรับอากาศ
ทำให้ช่วยประหยัดพลังงานมากขึ้นไปอีก
อายุการใช้งานของหลอด LED ยาวนานถึง
100,000 ชั่วโมง หรือ 11
ปีเปรียบเทียบกับหลอดฟลูออเรสเซ็นต์ซึ่งมี อายุใช้งาน 30,000
ชั่วโมง หรือหลอดไฟฟ้าแบบขดลวดที่มีอายุใช้งานเพียง 1,000 – 2,000 ชั่วโมงเท่านั้น
หลอด LED ยังมีความทนทานต่อการสั่นสะเทือนมากกว่า
จึงเหมาะสมสำหรับติดตั้งในเครื่องบินหรือรถยนต์ นอกจากนี้ หลอด LED ไม่เปราะบางเหมือนกับหลอดไฟฟ้าแบบขดลวดหรือหลอดฟลูออเรสเซ็นต์
บางครั้งแม้ถูกทุบตีอย่างแรง ก็ยังสามารถใช้งานได้ หลอด LED เหมาะสำหรับหลอดไฟที่ต้องการให้เปิดปิดบ่อยครั้ง
เนื่องสามารถเปิดปิดบ่อยๆ โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด และเมื่อเปิดหลอดไฟ
จะให้ความสว่างโดยทันทีนับว่าแตกต่างจากหลอดฟลูออเรสเซ็นต์ที่
หากเปิดปิดบ่อยครั้งจะเสียง่าย หรือหลอด HID ซึ่งเมื่อเปิดสวิชต์แล้ว
จะใช้เวลาช่วงหนึ่งกว่าจะให้แสงสว่างออกมาแม้ปัจจุบันมีการนำ LED ไปใช้ในอุปกรณ์ต่างๆ มากมาย แต่กลับยังไม่ได้นำมาใช้แพร่หลาย
เพื่อให้แสงสว่างภายในบ้าน เนื่องจากมีข้อจำกัดสำคัญ คือ ยังไม่สามารถผลิต LED
ที่เปล่งแสงสีขาวโดยแท้จริงได้
เรามาว่ากันต่อที่ตอนที่ 2 นะคะ
ประเภทของหลอดไฟ LED
ประเภทของหลอดไฟ LED
เทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องส่งผลให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ออกมาให้เราได้ใช้ประโยชน์กันอย่างแพร่หลาย สิ่งที่ตามมาก็คือการใช้พลังงานที่มากขึ้น
ทั้งโลกหันมาใส่ใจเรื่องพลังงาน การประหยัดพลังงาน การอนุรักษ์พลังงาน กันอย่างแพร่หลาย เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่า “ชีวิตต้องการพลังงาน”
เทคโนโลยีเพื่ออนาคตที่ทั้งโลกยอมรับกันว่าช่วยลดการใช้พลังงานคือ คือ หลอดประหยัดไฟ LED หากเราจะเลือกผลิตภัณฑ์หลอดไฟ LED ไปใช้เราควรรู้อะไรบ้าง เทคนิคในการเลือกซื้ออย่างไร มีข้อควรระวังอย่างไรบ้าง
ก่อนอื่นต้องทราบประเภทของหลอดไฟ LED ก่อน หลอดไฟ LED แบ่งตามลักษณะพื้นที่การใช้งาน สามารถจำแนกออกเป็น 3 ประเภท ง่ายๆ คือ
1. หลอดไฟ LED ใช้ภายในอาคาร(Indoor Lighting) เช่น Bulb Light , Tube Light, Downlight, PAR Light เป็นต้น
2. หลอดไฟ LED ใช้ภายนอกอาคาร (Indoor Lighting) เช่น ไฟสาดแสง(Flood Light ), ไฟถนน(Street Light ), HIGH BAY เป็นต้น
3. หลอดไฟ LED ตกแต่ง อาทิ เช่น STRIP LIGHT (ไฟเส้นตกแต่ง),Track Light เป็นต้น
รูปตัวอย่างหลอด LED
Bulb Light Tube Light
PAR Light Flood Light
Street Light
Strip Light
# Classroom Language #
Good morning, everyone.
แปลว่า อรุณสวัสดิ์ ทุกคน
แปลว่า อรุณสวัสดิ์ ทุกคน
Good afternoon, class.
แปลว่า สวัสดีตอนบ่าย ทุกคนในชั้นเรียน (ใช้หลังเที่ยง)
แปลว่า สวัสดีตอนบ่าย ทุกคนในชั้นเรียน (ใช้หลังเที่ยง)
How are you this morning, Pensri?
แปลว่า เช้านี้เป็นอย่างไรบ้าง เพ็ญศรี
แปลว่า เช้านี้เป็นอย่างไรบ้าง เพ็ญศรี
Nadech, how are you today?
แปลว่า ณเดช วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง
แปลว่า ณเดช วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง
Do you have a cold?
แปลว่า คุณเป็นหวัดหรือเปล่า
แปลว่า คุณเป็นหวัดหรือเปล่า
ประโยคที่น่าสนใจอื่นๆ
What a lovely day!
What a rainy day!
Today is very cold, isn’t it?
Isn’t it warm this morning?
It’s a humid day, isn’t it?
What a lovely day!
What a rainy day!
Today is very cold, isn’t it?
Isn’t it warm this morning?
It’s a humid day, isn’t it?
ประโยคภาษาอังกฤษ สำหรับถามตอบ ในชั้นเรียน
ถามง่ายๆ เรียกให้ขาน โดยการเรียกชื่อ
ถาม: Mario?
การขานรับ: Yes หรือ Here
ถาม: Mario?
การขานรับ: Yes หรือ Here
การถามหานักเรียนชื่อ…
ถาม: Where is Kongpop? แปลว่า ก้องภพอยู่ไหน
ตัวอย่างการตอบ: He is absent. แปลว่า เขาขาดเรียน
ถาม: Where is Kongpop? แปลว่า ก้องภพอยู่ไหน
ตัวอย่างการตอบ: He is absent. แปลว่า เขาขาดเรียน
ถามว่าวันนี้ นักเรียนชื่อ…ขาดเรียนหรือ
ถาม: Is Yaya absent today?
ตอบว่าใช่: Yes, she’s absent. แปลว่า ใช่ หล่อนขาดเรียน
ตอบปฏิเสธ: No, she is coming. แปลว่า ไม่ หล่อนกำลังมา
ถาม: Is Yaya absent today?
ตอบว่าใช่: Yes, she’s absent. แปลว่า ใช่ หล่อนขาดเรียน
ตอบปฏิเสธ: No, she is coming. แปลว่า ไม่ หล่อนกำลังมา
ประโยคภาษาอังกฤษในชั้นเรียน เมื่อเริ่มการเรียน การสอน
Please sit down, everyone.
แปลว่า ทุกคน เชิญนั่งลง
แปลว่า ทุกคน เชิญนั่งลง
Let’s begin today’s lesson.
แปลว่า เรามาเริ่มบทเรียนวันนี้กันเลย
แปลว่า เรามาเริ่มบทเรียนวันนี้กันเลย
It’s time to begin, please stop talking.
แปลว่า ได้เวลาเริ่มแล้ว โปรดหยุดคุยก่อน
แปลว่า ได้เวลาเริ่มแล้ว โปรดหยุดคุยก่อน
Let’s quickly review the last lesson.
แปลว่า เรามาทบทวนบทเรียนก่อนหน้านี้กันอย่างรวดเร็วกันเถอะ
แปลว่า เรามาทบทวนบทเรียนก่อนหน้านี้กันอย่างรวดเร็วกันเถอะ
Try to answer my questions.
แปลว่า ลองตอบคำถามพวกนี้ของครู(ฉัน)หน่อยสิ
แปลว่า ลองตอบคำถามพวกนี้ของครู(ฉัน)หน่อยสิ
Right / Correct
แปลว่า ถูกต้อง
แปลว่า ถูกต้อง
Nearly Right / Close / Almost
หมายถึง เกือบถูก, ใกล้เคียง
หมายถึง เกือบถูก, ใกล้เคียง
Let’s start on page 15.
แปลว่า เรามาเริ่มกันที่หน้า 15
แปลว่า เรามาเริ่มกันที่หน้า 15
Let’s start at line 3.
แปลว่า เรามาเริ่มกันตรงบรรทัดที่ 3
แปลว่า เรามาเริ่มกันตรงบรรทัดที่ 3
Turn to page 34.
แปลว่า เปิดไปที่หน้า 34
แปลว่า เปิดไปที่หน้า 34
Please look at the blackboard.
แปลว่า โปรดมองบนกระดาน
แปลว่า โปรดมองบนกระดาน
Look at your textbooks.
แปลว่า ดูที่ตำราเรียนของคุณ
แปลว่า ดูที่ตำราเรียนของคุณ
Now open your textbooks to page 17.
แปลว่า คราวนี้เปิดตำราของคุณไปที่หน้า 17
แปลว่า คราวนี้เปิดตำราของคุณไปที่หน้า 17
Come to the blackboard.
แปลว่า มาที่กระดาน
แปลว่า มาที่กระดาน
Write this down in your notebooks.
แปลว่า จดสิ่งนี้ลงในสมุดบันทึกของพวกคุณ
แปลว่า จดสิ่งนี้ลงในสมุดบันทึกของพวกคุณ
Pass back these sheets/handouts.
แปลว่า ส่งเอกสารพวกนี้คืน
แปลว่า ส่งเอกสารพวกนี้คืน
หลอด LED คืออะไร
หลอด LED คืออะไร
หลายคนคงคุ้นหูกับคำว่า LED อ๊ะๆๆ!!..ไม่ใช่ LED ทีวีนะ แต่มันคือ หลอดไฟ LED หรือ ไฟแอลอีดี ตะหาก
คำว่า LED ย่อมาจาก Light Emitting Diode คือ ไดโอดเปล่งแสง มีความสามารถในการปล่อยแสงออกมาได้ โดยหลอด LED สามารถเปล่งแสงได้เมื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง ทั้งยังให้แสงสว่างดีกว่าหลอดไฟขนาดเล็กธรรมดาทั่วไปซะอีก
จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้วงการ LED มีความเติบโตและก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน ทั้งในเรื่องของแสงที่ปล่อยออกมา เมื่อก่อนจะมีแค่สีขาวสีเดียว แต่ปัจจุบัน แสงของหลอดไฟแอลอีดี มีให้เลือกทั้ง สีแดง สีเขียว สีส้ม และ สีน้ำเงิน สามารถนำไปใช้งานได้หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ไฟท้ายรถยนต์ ไฟจราจร ป้ายโฆษณา ป้ายสัญญาลักษณ์ ต่างๆ ไฟฉาย ไฟอาคาร รวมถึงจอ LCD ของโทรศัพท์มือถือที่ใช้กันทั่วไปเกือบทั้งหมดจะให้แสงสว่างด้วย LED
ข้อดีของแอลอีดี
1. ประหยัดค่าไฟได้ถึง 70% อายุการใช้งานนานกว่า 50,000 ชม.
2. ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่เกิดสภาวะเรือนกระจก
3. ลดการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าอาคาร เนื่องจาก LED ปล่อยความร้อนออกมาน้อยมาก
4. หลอด LED มีความทนทานต่อแรงกระแทกมากว่า หลอดแบบขดลวด
5. ไม่ต้องใช้ บัลลาสต์ และ สตัทเตอร์
6. มีหลากสีให้เลือกใช้
ที่มา : http://www.besserlight.com/th/content/7815
หลายคนคงคุ้นหูกับคำว่า LED อ๊ะๆๆ!!..ไม่ใช่ LED ทีวีนะ แต่มันคือ หลอดไฟ LED หรือ ไฟแอลอีดี ตะหาก
คำว่า LED ย่อมาจาก Light Emitting Diode คือ ไดโอดเปล่งแสง มีความสามารถในการปล่อยแสงออกมาได้ โดยหลอด LED สามารถเปล่งแสงได้เมื่อจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง ทั้งยังให้แสงสว่างดีกว่าหลอดไฟขนาดเล็กธรรมดาทั่วไปซะอีก
จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้วงการ LED มีความเติบโตและก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน ทั้งในเรื่องของแสงที่ปล่อยออกมา เมื่อก่อนจะมีแค่สีขาวสีเดียว แต่ปัจจุบัน แสงของหลอดไฟแอลอีดี มีให้เลือกทั้ง สีแดง สีเขียว สีส้ม และ สีน้ำเงิน สามารถนำไปใช้งานได้หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น ไฟท้ายรถยนต์ ไฟจราจร ป้ายโฆษณา ป้ายสัญญาลักษณ์ ต่างๆ ไฟฉาย ไฟอาคาร รวมถึงจอ LCD ของโทรศัพท์มือถือที่ใช้กันทั่วไปเกือบทั้งหมดจะให้แสงสว่างด้วย LED
ข้อดีของแอลอีดี
1. ประหยัดค่าไฟได้ถึง 70% อายุการใช้งานนานกว่า 50,000 ชม.
2. ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่เกิดสภาวะเรือนกระจก
3. ลดการสูญเสียพลังงานไฟฟ้าอาคาร เนื่องจาก LED ปล่อยความร้อนออกมาน้อยมาก
4. หลอด LED มีความทนทานต่อแรงกระแทกมากว่า หลอดแบบขดลวด
5. ไม่ต้องใช้ บัลลาสต์ และ สตัทเตอร์
6. มีหลากสีให้เลือกใช้
ที่มา : http://www.besserlight.com/th/content/7815
วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)